วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 5 : Idol Restaurant ตะลุยร้านอาหารดังของไอดอล

           

                             



ตะลุยร้านอาหารดังของไอดอลดังแดนกิมจิ


Caffe Soo ร้านกาแฟแสนสวยของซูจี วงMiss A
ร้านกาแฟของสาวน้อยสุดฮอต ซูจี วง Miss A ชื่อร้านคาเฟ่ซู (Caffe Soo) ที่ซูจีเปิดให้คุณพ่อคุณแม่ที่รัก แต่ถึงจะเป็นร้านที่เปิดให้คุณพ่อคุณแม่ บรรยากาศภายในร้านยังกับพิพิธภัณฑ์ซูจีดีๆนี่เอง มีทั้งรูป ทั้งลายเซ็น แถมชื่อร้านก็ตั้งตามชื่อของซูจีนั่นละ ใครที่ชื่นชอบสาวน้อยน่ารักคนนี้อย่าพลาดร้าน Caffe Soo  ใครไปรับรองไม่ผิดหวัง แน่นอนๆ

สถานที่: ร้าน Caffe Soo อยู่ตรงข้ามหอสมุดควังจู



Mouse Rabbit ร้านกาแฟของหนุ่มอินดี้อย่างเยซอง วงSuper Junior
ร้านกาแฟ Mouse Rabbit หรือที่รู้จักกันในนามร้านโมบิท ขายทั้งกาแฟและเค้กน่าอร่อยสุดๆ ร้านใหญ่ บรรยากาศสบายๆ ว่ากันว่าสั่งกาแฟได้ชา สั่งชาได้เค้ก อินดี้เหมือนเจ้าของร้านอยางหนุ่มเยซอง วงSuper Junior เปี๊ยบ   ร้านนี้เปิดสิบโมงจนถึงเที่ยงคืน

สถานที่: ร้าน Mouse Rabbit อยู่ที่ฮวายางดง สังเกตหน้าปากซอยจะมีร้าน Nature Republic และ Samsung 





ร้านชักซัล(Jaksal) ร้านไก่ทอดนักเลงของ คิมฮยอนจุง
ร้านชักซัลของนักร้องหนุ่มในตำนานอีกคนอย่างคิมฮยอนจุง จากวงSS501 ร้านไก่ทอดนี้ถูกขนานนามจากแฟนๆว่าร้านไก่ทอดนักเลง ไม่ใช่เพราะเจ้าของเป็นนักเลงกล้ามโตที่ไหนแต่ดูได้จากโลโก้ไก่ถือส้อมหน้าตาโหดสุดๆร้านไก่ทอดนักเลงเป็นการร่วมหุ้นกับเพื่อนโดยเปิดสาขาแรกที่ซอกช่นดง และสาชาที่2ที่อิลซาน ซึ่งคุณแม่ฮยอนจุงเป็นคนดูแลอยู่ แนะนำให้ไปสาขาซอกช่นดง ตามไปชิมความอร่อยกันได้ ถ้าไปจังหวะดีอาจได้เจออปป้ายืนล้างจานอยู่ก็เป็นได้

สถานที่: ร้านชักซัล(Jaksal) ไปง่ายๆจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินซอกช่นดงทางออกที่ 7 เดินไปเพียง 5 นาที ก็จะเห็นร้านเล็กๆกับป้ายร้านเด่นชัด









ร้านไส้ย่างของ ฮาฮา รันนิ่งแมน
ร้านไส้ย่างที่สาวกรันนิ่งแมนไม่ควรพลาดร้านนี้ ร้านไส้ย่าง พัลจามักชาง ที่มีแฟรนช์ชายน์อยู่หลายสาขา มีสาขากิล-แกรี่ แห่งวงลีซังที่คอนแดและคังนัม แต่สาขาที่กำลังฮือฮาต้องตามไปให้ถึงคือ สาขาที่ฮงแดของฮาดงฮุน หรือ ฮาฮา หนึ่งในสมาชิกของรายการวาไรตี้ชื่อดังอย่างรันนิ่งแมน ใครสนใจก็สามารถไปเยี่ยมชมและไปชิมกันได้

สถานที่: ร้านไส้ย่างของ ฮาฮา อยู่ที่ย่านฮงแด ใกล้ๆ กับ มหาวิทยาลัยฮงอิก








ร้านอาหารอิตาเลี่ยน Viva Polo ของชานยอล EXO
ร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่ชื่อว่า Viva Polo ร้านนี้มีอยู่หลายสาขา แต่สาขาที่ครอบครัวของชานยอล EXO นั้น อยู่ที่สาขายอลเม ย่านมยองอิล อยู่ไกลจากดาวน์ทาวน์ของโซลไปพอสมควร สำหรับร้าน Viva Polo สาขายอลเมนั้น เปิดกิจการครั้งแรกเมื่อปี 2012 ปัจจุบันร้าน Viva Polo มีอยู่ 5 สาขาด้วยกัน สาขาที่เป็นกิจการของครอบครัวชานยอลนั้นเป็นสาขาที่3 ภายในร้านก็ได้บรรยากาศร้านอาหารอิตาเลี่ยน ตกแต่งอย่างสวยงาม และ ร้านก็มีขนาดกว้างขวางเลยทีเดียว เมนูในร้าน Viva Polo สาขานี้ เน้นไปที่พาสต้า และ พิซซ่า ซึ่งที่ร้าน Viva Polo ก็มี Lunch Set จะเป็นช่วงเวลา 13.30-17.00

สถานที่: ร้านอาหารอิตาเลี่ยน Viva Polo ของชานยอล EXO นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 5 สีม่วง ลงสถานีมยองอิล ทางออกที่1 พอออกมาแล้วจะเจอร้านนี้  ร้านตั้งอยู่บนชั้นสองของตึกตรงทางออก



















Credits : http://www.dek-d.com/teentrends/33839/
       : http://seoulcafe2013.blogspot.com/2014/08/viva-polo-exo.html




วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week:4 โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์(c/c++/c#/Java)


           โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์

ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์คือ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำคัญคือหากไม่มีภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากขาดชุดคำสั่งในการทำงาน
คอมพิวเตอร์จะสามารถทำงานได้จะต้องมีการเขียนโปรแกรมหรือซอร์ฟแวร์ เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานโปรแกรมต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นมานั้น จะต้องเขียนไปตามกฎเกณฑ์ของภาษาที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น
1. ภาษาเครื่อง (Machine language)
2. ภาษาแอสเซมบลี (Assembly language)
3. ภาษาชั้นสูง (High-level language)หรือ ภาษารุ่นที่ 3 (3GL:Third Generation Language)
4. ภาษาชั้นสูงมาก (Very high-level language)หรือภาษารุ่นที่ 4 (4GL)








1. ภาษาเครื่อง (Machine language)เป็นภาษาพื้นฐานที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ แต่ละคำสั่งประกอบขึ้นจากกลุ่มตัวเลข 0 และ 1 ซึ่งเป็นเลขฐานสอง2. ภาษาแอสเซมบลี (Assembly language)เป็นภาษาที่ใช้สัญลักษณ์ข้อความ แทนกลุ่มของตัวเลขฐานสอง เพื่อให้ง่ายต่อการเขียนและการจดจำมากขึ้น การทำงานของโปรแกรมจะต้องทำการแปลภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง โดยใช้ตัวแปลที่เรียกว่า แอสเซมเบลอร์ (Assembler)3. ภาษาชั้นสูง (High-level language) ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น โดยมีลักษณะเหมือนกับภาษาอังกฤษทั่วไป ผู้เขียนไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับฮาร์แวร์แต่อย่างใด ภาษานี้จำเป็นต้องมีตัวแปลภาษาเครื่องเช่นกัน เรียกตัวแปลนี้ว่า คอมไพเลอร์ (compiler)หรือ อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter)อย่างใดอย่างหนึ่ง ตัวอย่างของภาษาชั้นสูง เช่น ภาษาปาสคาล ภาษาซี ภาษโคบอล ภาษเบสิก ภาษาฟอร์แทรนภาษาระดับสูง (High Level Languages)ภาษาระดับสูง เป็นภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้และการนำไปประยุกต์ใช้งาน สามารถทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างชนิดกันได้ โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาระดับสูง จำเป็นต้องมีตัวแปลภาษาเพื่อให้เป็นภาษาเครื่องที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ โดยโปรแกรมแปลภาษามี 2 ประเภท คือ คอมไพเลอร์ และ             อินเตอร์พรีเตอร์ ตัวอย่างของภาษาระดับสูง

ตัวอย่างโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์


ภาษา C# (ซี-ชาร์ป) เป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระดับสูงที่ใช้สาหรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์หนึ่งที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน และเป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสาหรับผู้ที่เริ่มต้นสนใจที่จะเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งภาษา C# ถูกพัฒนามาจากภาษา C++ (ซี-พลัสพลัส) และมีโครงสร้างแบบเชิงวัตถุ (object-oriented programming) โดยใช้ Visual Studio (วิชวล-สตูดิโอ) เป็นเครื่องมือสำหรับพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่ง Visual Studio เป็นเครื่องมือที่คอยอำนวยความสะดวกในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ไม่ยากนัก

            ภาษา C# ได้รวบรวมข้อดีของภาษาต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นภาษา Java ภาษา C และ ภาษา C++ โดยมีข้อดีดังนี้

            1. เป็นภาษาที่เขียนง่าย ไม่ซับซ้อนและเรียบง่าย เพราะคล้ายภาษา Java ภาษา C และ ภาษา C++ ทำให้หลายคนเข้าใจได้ไม่ยาก

            2. เป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาสาหรับการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ภายใต้แนวคิด .NET Framework ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในปัจจุบัน

            3. เป็นภาษาที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานบน .NET Framework (ดอตเน็ต-เฟรมเวิร์ก) โดย .NET Framework เป็นรูปแบบในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ ซึ่งบริษัทไมโครซอพท์เป็นผู้พัฒนา ซึ่งคุณสมบัติที่สำคัญของ .NET Framework ก็คือ ผู้ใช้งานสามารถใช้งานบนระบบฮาร์ดแวร์ (Hardware) หรือ ระบบปฏิบัติการ (Operating System) ที่แตกต่างกันได้อย่างไม่มีปัญหา เช่น เครื่องพีซีกับเครื่องแมคหรือ ระบบปฏิบัติการวินโดว์กับระบบปฏิบัติการแมคอินทอช เป็นต้น ดังนั้น ผู้เขียนโปรแกรมจึงสามารถเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ ได้โดยง่าย รวดเร็ว และไม่ต้องติดข้อจำกัดต่างๆ อย่างเช่นการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในสมัยก่อนอีกต่อไป

            4. เป็นภาษาที่แข็งแกร่ง เพราะเป็นภาษาที่ได้มีการแก้ไขข้อบกพร่องบางอย่างของภาษา Java ภาษา C และ ภาษา C++ เหล่านั้น ทำให้ ภาษา C# เป็นภาษาที่มีความสมบูรณ์ตามแบบฉบับของโครงสร้างแบบเชิงวัตถุ(object-oriented programming)

                                                 


            การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษา C# นั้น จะมีเครื่องมือที่ช่วยคอยอำนวยความสะดวกสบายให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว และ ผู้เขียนโปรแกรมสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดในการเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวก็คือ โปรแกรม Visual Studio นั่นเอง
            Visual Studio เป็นซอฟต์แวร์ประเภท IDE (Integrated Development Environment) ซึ่งเป็นการนำแนวความคิดการทางานแบบรวมศูนย์มาใช้ คือ การทำให้วงจรการพัฒนาระบบทั้งหมดทำงานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และ ง่ายดาย เริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์ ออกแบบจนถึงการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นๆ (รายละเอียดของเครื่องมือสาหรับพัฒนาโปรแกรมด้วยภาษา C# จะกล่าวอีกครั้งในบทที่ 2)


            โครงสร้างโปรแกรมภาษา C# ขั้นพื้นฐานจะประกอบด้วยส่วนของโปรแกรมหลักแต่จะไม่มีส่วนของโปรแกรมย่อย (subroutine) โดยแสดงดังรูปที่ 1

                          

                                 รูปที่ 1 โครงสร้างโปรแกรมภาษา C# ขั้นพื้นฐาน

             
จากรูปที่ 1 แสดงโครงสร้างโปรแกรมภาษา C# ขั้นพื้นฐาน โดยมีรายละเอียดดังนี้

            1. หมายเลข (1) เป็นการระบุชื่อของ namespace ซึ่งใช้ในการกำหนดขอบเขตให้กับคลาสต่างๆรวมถึงใช้ในการจัดโครงสร้างของโปรแกรมขนาดใหญ่ให้เป็นสัดส่วนอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนโดยมีผู้เขียนโปรแกรมหลายคน นอกจากนี้ การกำหนด namespace ยังช่วยป้องกันปัญหาการตั้งชื่อคลาสหรือค่าคงที่อื่นๆ ซ้ากันได้
            2. หมายเลข (2) เป็นการระบุชื่อของ class
            3. หมายเลข (3) เป็นการะบุพื้นที่สำหรับคำสั่งต่างๆ ที่ผู้เขียนโปรแกรมต้องการให้คอมพิวเตอร์                   ปฏิบัติตาม

            นอกจากนี้ ในบางกรณี ผู้เขียนโปรแกรมสามารถที่จะไม่เขียนในส่วนของ namespace ได้ ถ้าโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นมีขนาดเล็ก และ ไม่ซับซ้อนมากนัก ซึ่งการที่ไม่เขียนในส่วนของ namespace จะถือว่า class ที่ถูกสร้างขึ้นมาอยู่ใน namespace กลาง โดยแสดงดังรูปที่ 2

                             
รูปที่ 2 โครงสร้างโปรแกรมภาษา C# ขั้นพื้นฐาน กรณีไม่เขียนในส่วนของ namespace

ตัวอย่าง โครงสร้างโปรแกรมภาษา C# ขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะแสดงข้อความ Hello C# ออกทางจอภาพ   และจากนั้นรอจนกว่าผู้ใช้งานจะกด Enter แล้วจบการทำงาน

กรณีที่ 1 เขียนในส่วนของ namespace โดยแสดงดังรูปที่ 3

                      


   รูปที่ 3 ตัวอย่างโครงสร้างโปรแกรมภาษา C# ขั้นพื้นฐาน กรณีเขียนในส่วนของ namespace



   กรณีที่ 2 ไม่เขียนในส่วนของ namespace โดยแสดงดังรูปที่ 4



  รูปที่ 4 ตัวอย่างโครงสร้างโปรแกรมภาษา C# ขั้นพื้นฐาน กรณีไม่เขียนในส่วนของ namespace


อ้างอิง : https://sites.google.com/site/programmingm42/phasa-c
           : https://kroobee.wordpress.com



วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week3: Social network กับนักเรียนและสังคมไทย



                                 Social network กับสังคมไทยและนักเรียน

สำหรับในยุคนี้ เราคงหลีกเลี่ยงหรือหนีคำว่า Social networkไปไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะพบเห็นมันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหลายๆ คนก็อาจจะยังสงสัยว่า “Social network” คืออะไรกันแน่ วันนี้เรามารู้จักความหมายของ “Social network”
                                 

  คำว่า Social networkหมายถึง สื่อสังคมออนไลน์ที่มีการตอบสนองทางสังคมได้หลายทิศทาง โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต พูดง่ายๆ ก็คือเว็บไซต์ที่บุคคลบนโลกนี้สามารถมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้นั้นเอง พื้นฐานการเกิด “Social Media” ก็มาจากความต้องการของมนุษย์หรือคนเราที่ต้องการติดต่อสื่อสารหรือมีปฏิสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะเป็นเฟชบุ๊ค (Facebook) ทวิตเตอร์ (Twitter) หรืออื่นๆ มากมาย จากความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสู่เพื่อนกลายเป็นความสัมพันธ์ของกลุ่มสังคม และเป็นความสัมพันธ์ที่กว้างไกลไปทั้งโลก นี่คือความมหัศจรรย์ของเครือข่ายบนโลกออนไลน์

                              

Social Network กับสังคมไทย

   Social Network ในสังคมไทยมีอิทธิพลต่อการทำเนินชีวิตของเรามาก เนื่องจากสังคมไทยมีการเสพติด Social Networkไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเมื่อไร เช่น ตอนโหนอยู่บนรถประจำทาง ตอนอยู่ในรถไฟฟ้า หรือตอนนั่งรถยนต์ส่วนตัว พวกเราก็จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเช็ค Social Network และดูกระแส Social Network ในช่วงนี้เป็นประจำ สังคมไทยใช้ Social Network ในการเช็คข่าวสารต่างๆ คอยอัพเดตสิ่งต่างๆที่ต้องการจะรู้ แต่การทำแบบนี้นั้นทำให้เราเกิดพฤติกรรมใหม่ขึ้นมานั้นก็คือสังคมก้มหน้านั้นเอง ซึ่งการใช้ชีวิตแบบสังคมก้มหน้านั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีหนักเนื่องจากอาจจะทำให้เราขาดมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่นแล้วมั่วแต่หมกมุ่นอยู่แต่เพียงในโลกของ Social Network นอกจากนี้การที่ผู้ใช้เล่น social network และอยู่กับหน้าจอมือถือเป็นเวลานานอาจสายตาเสียได้หรือบางคนอาจตาบอดได้ ดังนั้นเราจึงควรเล่นหรืออยู่กับ Social Network อย่างพอดีไม่มากเกินความพอดีมิเช่นนั้นอาจจะก่อผลเสียต่อตัวเราและสังคมที่เราอยู่ก็เป็นได้

                             

 Social Network กับนักเรียน

   Social Network เป็นสิ่งที่แทบจะเรียกได้ว่าอยู่คู่กับนักเรียนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนในระดับไหนก็ตามทั้งเด็กเล็ก เด็กโต ก็รู้จัก Social Networkกันทั้งนั้น ก็ที่เรามี Social Network นั้นเป็นเรื่องที่ดีเพราะเราสามารถแชร์ข้อมูลต่างๆให้กันได้โดยใช้เวลาไม่นาน  ถ้าหากผู้ใช้อยู่ในวัยเรียน แล้วเกิดความหมกมุ่นอยู่กับ social network มากเกินไปอาจทำให้เสียการเรียนหรือผลการเรียนตกต่ำลงได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนั้น คนบางกลุ่มก็เลือกที่จะใช้social networkในทางที่ดี เช่น การค้าขายของตาม Social Network เพื่อเป็นการหารายได้ระหว่างเรียน หรือ ตั้งกลุ่มเป็นรับข่าวทางด้านการศึกษาต่างๆ ดังนั้นเราก็ควรใช้ Social Network ในทางที่ถูกที่ควรเพื่อให้ Social Network เกิดประโยชน์สูงสุดกับชีวิตเรา

                         


  ดังนั้นการที่เรามี Social Network ในตอนนี้ ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ในการทำอะไรต่างๆมากมายในปัจจุบัน เราจึงควรใช้มันให้ถูกต้องมาที่ Social Network ควรเป็น และไม่ควรใช้ Social Network ไปในทางที่ผิด เพื่อเราจะได้รับประโยชน์สูงสุดจาก Social Network

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week2 : History Of Barbie

History Of Barbie

"ตุ๊กตา" ของเล่นของสะสมขวัญใจหญิงสาว ที่ไม่ว่ายุคใดสมัยใดต้องมีไว้ครอบครอง พร้อมกับมีเรื่องราวเล่าขานถึงประวัติความเป็นมายาวนานนอกเหนือจากตุ๊กตาผ้าขนสัตว์ นุ่มๆและตุ๊กตากระดาษหลากรูปแบบแล้ว ยังมีตุ๊กตาอีกตัวหนึ่งที่สวยสดงดงามไม่เหมือนใคร ในชื่อที่รู้จักกันดี "บาร์บี้" (Barbie)

   อวดโฉมเป็นสาวสะคราญ ครองใจคุณหนูๆ มานานครบ 50 ปีแล้วเพื่อนๆ หลายคนของบาร์บี้กลายเป็นคุณแม่ คุณป้า คุณย่า  คุณยาย แต่สาวน้อยบาร์บี้ยังสวยไม่สร่างซา


  "บาร์บี้" ถือเป็นตุ๊กตาแฟชั่นสุดยอด ของเล่นและของสะสมของหญิงสาวทั่วโลก ด้วยเสน่ห์ความสวยหรู สง่างาม ชวนหลงใหล น่ารัก และทันสมัย ทำให้ปัจจุบันไม่เพียงแต่ บาร์บี้จะเป็นของเล่น แสนรักของเด็กสาวตัวเล็กๆ เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นของสะสมของ คนรักตุ๊กตาทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ ทุกคอลเล็กชั่นที่ผลิตออกมาแฟนบาร์บี้ตัวจริง เป็นต้องซื้อหามาเก็บไว้  โดยมีจำนวนตุ๊กตาจำหน่ายตั้งแต่ปี 1959 มากกว่า 1 พันล้านตัวและมีผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ http://www.barbie.com กว่า 35 ล้านคน"ต่อเดือน" บาร์บี้ไม่เพียงเป็นตุ๊กตา ที่เติมเต็มจินตนาการของเด็กสาวเท่านั้น แต่บาร์บี้ยังเป็น "ตุ๊กตาที่มีตำนาน"  มีประวัติ     การถือกำเนิด มีการเปลี่ยนรูปโฉม รูปแบบการผลิตวัสดุที่ใช้ในการผลิตและเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจ



" กำเนิดบาร์บี้ "
แรกเริ่มเดิมทีบาร์บี้ถือสัญชาติอเมริกัน มาประมาณ 46 ปีแล้ว เกิดจากการที่ Mrs.Ruth Handler เจ้าของบริษัทแมทเทล (Mattel) ได้รับแรงบันดาลใจที่จะประดิษฐ์ตุ๊กตาบาร์บี้ หลังจากเธอสังเกตเห็นว่า "บาร์บาร่า"ลูกสาวของเธอชอบเล่น




   ตุ๊กตากระดาษ ที่มีลักษณะเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เป็นเด็ก จึงทำให้เธอเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่าอยากจะผลิตตุ๊กตารูปทรง 3 มิติขึ้นมา โดยให้สามารถนำมาเล่นได้เปลี่ยนชุดได้ เติมเต็มความฝันของเด็กๆ ทว่า ในตอนแรกคนรอบกายของเธอไม่เห็นด้วย ซึ่งตอนนั้นได้แต่คิด แต่ยังไม่รู้จะออกแบบอย่างไร พอดีกับมีโอกาสเดินทางไปพักผ่อนที่สวิตเซอร์แลนด์ ได้ไปเห็นตุ๊กตาตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า ลิลลี่ (Lilli)   มีลักษณะเป็นรูปทรง 3 มิติ ตรงตามที่เคยคิดและต้องการทำ พอกลับมาจึงจัดทำโครงการตุ๊กตาบาร์บี้ขึ้น โดยไปออกแบบดีไซน์และผลิตที่ประเทศญี่ปุ่น จนกระทั่งตุ๊กตาบาร์บี้ถือกำเนิดขึ้น 


"และได้ตั้งชื่อตุ๊กตาตามชื่อของลูกสาวว่า บาร์บี้ หรือในชื่อเต็มว่า บาร์บี้ มิลลิเซ็น โรเบิร์ท (Barbie Millicent Roberts) "เปิดตัวให้คนรู้จัก อย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ค.ศ.1959 (พ.ศ.2502) ในงานแสดงของเล่น (Toy Fair)ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

บาร์บี้ที่ผลิตออกมาในยุคนั้น จะมีลักษณะรูปหน้าโบราณโดยนับตั้งแต่ อดีตถึงปัจจุบัน สามารถจำแนกรุ่นบาร์บี้ได้เป็น 2 หมวดใหญ่ คือรุ่น Vintage Barbie จัดเป็นบาร์บี้รุ่นแรกผลิตขึ้นระหว่างปี ค.ศ1959-1975 อีกรุ่นหนึ่งเรียกว่ารุ่น Modern Barbie ผลิตตั้งแต่ปี  ค.ศ. 1980 จนถึงปัจจุบัน รุ่นนี้จะแบ่งย่อยออกไปอีก เป็นหลายหมวดหมู่ เช่น Children, Designer หรือเป็นซีรีส์ตามดาราหนัง เป็น World Culture เจ้าหญิงนานาชาติ ฯลฯ


ในเรื่องรูปแบบการผลิต มีการจำแนกการผลิตตุ๊กตาบาร์บี้ออกเป็น



1.รุ่น Play Line หรือรุ่นเจ้าหญิงต่างๆ
รุ่นนี้เหมาะสำหรับเด็กเล็ก เพราะราคาไม่แพงมาก สนนราคาอยู่ที่                                                                                     400-4,000 บาท  บาร์บี้รุ่นเจ้าหญิงต่างๆ







2.รุ่นLimited Edition                                                                               ราคาตกอยู่ที่ 4,000 บาทขึ้นไปจนถึงหลักแสน วัสดุที่ใช้ทำผิวบาร์บี้ มี 3 ชนิดด้วยกัน  คือ ทำด้วยพลาสติก ไวนิล กระเบื้องเคลือบ และ ซิลก์สโตน   อีกคอลเล็กชั่นสวยของบาร์บี้






 การเลือกซื้อตุ๊กตาบาร์บี้ ถ้าซื้อในต่างประเทศจะถูกกว่าที่เมืองไทยประมาณร้อยละ 30 โดยที่อเมริกาเป็นแหล่งที่ซื้อได้ถูกที่สุด ส่วนประเทศในเอเชียที่คนนิยมไปซื้อ ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน ตุ๊กตาบาร์บี้ นับเป็นตุ๊กตาที่สะท้อนถึงความเป็นแฟชั่น จากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีการปรับเปลี่ยนโฉมหน้ามาแล้วถึง4 ครั้ง คือในปี 1967,1977,1992 และ 1999 เช่น เพิ่มขนตา รูปหน้า รอยยิ้มที่มีทั้งแบบยิ้มเปิดปาก ปิดปาก














รูปแบบบาร์บี้ ซึ่งเป็นที่นิยมของเด็กผู้หญิงไทยส่วนใหญ่จะเป็นบาร์บี้เจ้าหญิง และแฟชั่นฟีเวอร์ซึ่งเปลี่ยนชุดได้ ในปัจจุบันตุ๊กตา   บาร์บี้วางจำหน่ายมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก" มียอดขายมากกว่า 4 พันล้านเหรียญดอลลาร์ "ตุ๊กตาบาร์บี้ หนึ่งในของเล่นที่ยึดครองหัวใจของเด็กหญิงทั่วโลกมานานหลายทศวรรษ นับแต่ปี ค.ศ.1959 เป็นต้นมา







 ความจริงบาร์บี้เป็นสาวราศีสิงห์ แต่ไปเปิดตัวให้คนรู้จักอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ในงานแสดงของเล่น Toy Fair ที่เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา จึงได้ถือเป็นวันเกิดของตุ๊กตาบาร์บี้เรื่อยมา นับจากวันนั้นตุ๊กตาบาร์บี้ก็เป็น ที่รู้จักของคนทั่วโลกจนถึงปัจจุบันถึงวันนี้  บาร์บี้ มียอดขายมากกว่า 1 พันล้านตัวในทั่วโลก






  สำหรับประเทศไทยบริษัท แมทเทล มอบหมายให้บริษัท ดีทแฮล์ม เป็นตัวแทนจำหน่าย ตุ๊กตาบาร์บี้ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากในเวลานั้น บาร์บี้เป็นตุ๊กตาผู้หญิงตัวแรก ที่มีขนาดกะทัดรัดมีรูปทรงลอยตัวและมีลักษณะที่เหมือนคนจริงบาร์บี้มีอิทธิพลกับเด็กที่กำลังจะเริ่มเป็นสาวเกือบทั่วโลกมากกว่าความเป็นเพื่อน เหมือนตุ๊กตาทั่วไป โดยเด็กๆ ตั้งความฝันที่จะโตขึ้นแล้วสวย แต่งตัวทันสมัย ใส่เสื้อผ้าที่ออกแบบโดย นักออกแบบที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นอีกพัฒนาการหนึ่งของตุ๊กตาบาร์บี้ ในระยะเวลาต่อมา ทำให้เด็กๆ มองว่าบาร์บี้คือสิ่งที่พวกเขาอยากจะเป็นในอนาคต 





เรื่องราวของบาร์บี้มีชีวิตเหมือนคนจริงมากขึ้นเมื่อบาร์บี้มีแฟนหนุ่มชื่อเคน คาร์สัน  (Ken Carson) ในปี ค.ศ.1961 หรือใน 2 ปี หน้าตาเคนก็มีการเปลี่ยนแปลงเหมือนบาร์บี้ ต่อมาหลังจากที่บาร์บี้ถือกำเนิด ซึ่งในเวลาต่อๆ มา บาร์บี้ก็เริ่มมีสังคมมากขึ้น ด้วยการมีเพื่อนต่างสีผิว, เพื่อนของเคนน้องชาย, น้องสาว,  ลูกพี่ลูกน้อง และเพื่อนสาวอีกมากมาย







   หากนับจนถึงบัดนี้ บาร์บี้สาวน้อยพลาสติกก็มีอายุได้ 50กว่า ปีแล้ว ถ้าเป็นคนจริงๆ ก็เรียกว่าเป็นคุณแม่ได้เลย ทว่าในโลกของตุ๊กตา บาร์บี้ก็ยังคงความน่ารัก สวยงามและทันสมัยอยู่ เช่นเคย และยังคงเป็นที่นิยมของเด็กๆ ทั่วโลกได้ทุกยุคทุกสมัย

เครดิต
:http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pussycatrodgeng&group=1&month=10-         2012&date=11
:https://www.google.co.th/search